วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กำแพงเบอร์ลิน

จุดกึ่งกลางสะพาน จะมองเห็นว่ามีสีอ่อน และสีเข้ม แตกต่างกัน
เขาแลกเปลี่ยนสายลับกันที่จุดนี้ล่ะค่ะ
          ขอกลับมาถึงเรื่องของกำแพงเบอร์ลินนะคะ
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๔๘๘
เยอรมัน ถูกแบ่งให้อยู่ในการดูแลของมหาอำนาจ
๒ ฝ่าย อันได้แก่ฝ่ายโลกเสรี กับฝ่ายคอมมิวนิสต์
ได้กลายเป็นสังเวียนแห่งความขัดแย้งที่สำคัญแห่งหนึ่งในสงครามเย็น
ทั้งนี้เป็นเพราะมหาอำนาจทั้ง ๒ ฝ่าย
ต่างพยายาม จัดการ กับดินแดนในความครอบครองของตน
ในแบบแนวคิดของตนเอง ... เสรีนิยม หรือ คอมมิวนิสต์ ...
จากประเทศเดียว กลายเป็น ๒ ประเทศ คือ
เยอรมันตะวันตก อยู่ในความดูแลของ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
เยอรมันตะวันออก อยู่ในความดูแลของสหภาพโซเวียต
          ส่วน เบอร์ลิน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเยอรมันตะวันออก ก็ถูกแบ่งเป็น ๒ ส่วนด้วย
เบอร์ลินตะวันตก อยู่ในความดูแลของ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
เบอร์ลินตะวันออก อยู่ในความดูแลของสหภาพโซเวียต
ลองนึกย้อนถึงใจคนเบอร์ลินตอนนั้นคงเต็มไปด้วยความสับสน
เพราะในพื้นที่ที่เคยเดินไปซื้อของ ไปเยี่ยมญาติ ไปเที่ยวพักผ่อน
กลับมีทหารต่างชาติ ต่างภาษา มากั้นเขต กั้นคนที่พูดภาษาเดียวกัน
ทำให้ไม่มีอิสรภาพ อย่างที่เคยเป็นมา
และถึงแม้จะยังคงเดินทางไปมาหาสู่กันได้
แต่การมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันของ ๒ ฝั่ง
ทำให้ผู้คนต่างแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า
เกิดการอพยพอย่างมากมายจากเบอร์ลินตะวันออก สู่ เบอร์ลินตะวันตก
          ซึ่งนำไปสู่การปิดพรมแดน ปิดล้อมเบอร์ลินตะวันตก
          ความเข้มข้นของการปิดล้อมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
          จนถึงระดับที่เงาทมึนแห่งกำแพงได้แยกชาวเบอร์ลินออกจากกัน
.........อย่างเด็ดขาด

แนวกำแพงแบบนี้ที่เคยกั้นคนชาติเดียวกันไว้โดยคนชาติอื่น
เป็นแนวที่พวกเขาพยายามที่จะข้ามมาหากัน
แม้จะต้องแลกด้วย....ชีวิต

ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๔ พ.ศ. ๒๕๓๒
มีผู้เสียชีวิตบริเวณกำแพงเบอร์ลินอย่างน้อย ๑๓๖ คน
จากหลาย ๆ สาเหตุ ทั้งถูกยิง ถูกทำร้าย จมน้ำในแนวแบ่งเขตกลางแม่น้ำ
ฆ่าตัวตายจากความกลัวถูกจับได้ขณะกำลังหนี และ อีกหลายประการ
รูปด้านบนคือภาพผู้เสียชีวิตที่จัดแสดงในบริเวณพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งใกล้แนวกำแพง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น